The art of selling paintings of artists

ศิลปิน กับการขายงานศิลปะ

ศิลปินนั้น เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่า ศิลปินแต่ละท่าน มีฐานะความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หลายท่านประสบความสำเร็จ รวยล้นฟ้า และก็มีจำนวนไม่น้อย ที่ถูกเรียกว่าศิลปินไส้แห้ง

คุณค่าของงานศิลปที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้วนั้น นอกจากคุณค่าในตัวมันเองแล้ว ยังถูกสร้างหรือเพิ่มมูลค่าได้ด้วยกลยุทธทางการตลาด การเจรจา เทคนิคการขาย และการต่อรอง บ่อยครั้งที่เราจะเห็นศิลปินชื่อดังต่างๆ มักจะเป็นคนที่ Present ผลงานได้เก่ง พูดต่อหน้าที่สาธารณะได้ดี มีบุคลิกที่ดึงดูดความสนใจ นี่แหละคือศิลปินตัวจริง ที่เก่งรอบด้าน สุภาษิตจีนยังเคยกล่าวไว้ว่า "ขุนศึกที่เก่งกล้า ฤาจะสู้เสนาที่ใช้เพียงลิ้น" สุภาษิตไทยก็ยังบอก "ปากเป็นเอก เลขเป็นโท" ซึ่งหากเราศึกษาประวัติศาสตร์ ก็เป็นอย่างนี้มานาน หลายยุคหลายสมัยจริงๆ ยกตัวอย่างในวงการโปรแกรมเมอร์ หรือวงการวิศวกรรม หรือวงการเกษตรก็ตาม โปรแกรมเมอร์พูดไม่เป็นก็ไส้แห้ง วิศวกรไม่มี skill ในการขาย ก็ต้องทำงานบริษัท เกษตรกร สร้างจุดยืน ไม่ได้ ขายไม่เป็น ก็เสียเปรียบพ่อค้าคนกลาง หากโปรแกรมเมอร์ขายเป็น ก็จะกลายเป็นเจ้าของบริษัทหรือ ซอฟท์แวร์เฮาท์ เป็นเจ้าของกิจการที่ร่ำรวย วิศวกรขายได้ ก็เปิดบริษัทเอง เกษตรกร ขายเป็น ก็เป็นเจ้าของฟาร์มชื่อดัง นี่คือสิ่งที่คนที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน ควรศึกษา เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับงานศิลป์ของตัวเองได้ ผมเรียกผลงานทุกอย่าง ที่เกิดจากความชำนาญ และความตั้งใจว่างานศิลป์ และผู้สร้างชิ้นงานคือ ศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นงานด้านใดก็ตาม อย่าง Steve Jobs ก็เป็นศิลปินเจ้าของบริษัท Apple Inc. ที่มีศิลปะในการนำเสนอ และสร้างจุดเด่นให้กับงานศิลป์ของเขา นั้นก็คือ Products ทั้งหลายของ Apple Inc. นั้นเอง

ณ งานแสดงภาพแห่งหนึ่ง มีเศรษฐีคนหนึ่ง สนใจงานเขียนสามภาพที่วางอยู่ในแกลอรี่ ที่มีศิลปินผู้เขียนยืนอยู่ใกล้ๆ เศรษฐีถามผู้เขียนว่า ภาพเขียนนี้ ราคาเท่าไร ศิลปินตอบว่า ภาพละ 10,000 USD เศรษฐี แสดงสีหน้าไม่พอใจ และกล่าวว่า เหตุในภาพเขียนจากคนไร่ชื่อ จึงมีราคาแพงเช่นนั้น ศิลปินจึงหยิบ หนึ่งใน สามภาพนึ้นขึ้นมา และจุดไฟเผาทิ้งไปหนึ่งภาพ เศรษฐีจึงบอกว่า จะช่วยซื้อสองภาพที่เหลือแล้วกัน ศิลปินตอบว่า สองภาพนี้ ราคาภาพละ 15,000 USD เศรษฐีแสดงอาการลังเลเล็กน้อย ในเวลาเพียง 5 วินาทีที่ลังเลอยู่ ศิลปินหยิบขึ้นมาเผาอีกรูป ทำให้ภาพเขียนนั้นเหลือเพียงภาพเดี่ยว และพูดว่า ภาพที่เหลือนี้ ราคา 30,000 USD เศรษฐี จึงรีบหยิบเงิน 30,000 USD ออกจากกระเป๋า และยื่นให้ศิลปินผู้นั้น เพื่อซื้อภาพเขียนที่เหลือเพียงหนึ่งภาพ

ที่เหตุการเป็นเช่นนี้ น่าจะตีความหมายได้ว่า ศิลปินนั้น มั่นใจในผลงานของตัวเอง ว่ามีดีพอ และพอที่จะอ่านออกว่า เศรษฐี มีความพึงพอใจในภาพเขียนนี้อยู่พอสมควร จึงกล้าเสี่ยงที่จะเอาชนะในการเจรจาต่อรอง การซื้อขายในครั้งนั้น และการซื้อขายในครั้งนั้น จะได้บันทึกประวัติไว้ว่า ศิลปินท่านได้ มีภาพเขียนที่ขายได้ในราคาสูง ซึ่งอาจจะพอที่จะทำให้แจ้งเกิดในวงการได้ และมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น ไม่มากก็น้อย

Credit : http://www.kpark.asia/kpark/contents.aspx?con_id=57