How to prepare files for printing
เตรียมไฟล์อย่างไรถึงจะเหมาะกับงานพิมพ์
สำหรับลูกค้าที่ต้องการจะออกแบบงานพิมพ์เอง แต่ไม่มีประสบการณ์ด้านการออกแบบส่งโรงพิมพ์ ทางโรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี. มีข้อแนะนำสำหรับนักออกแบบมือใหม่เล็กน้อยนะครับ ปัญหาที่โรงพิมพ์พบบ่อยมากที่สุดปัญหาหนึ่งก็คือ นักออกแบบไม่ได้ออกแบบมาตามมาตรฐานของการออกแบบงานพิมพ์ ไม่ได้เผื่อตัดตก ไม่ได้ใช้ Resolution หรือ profile สีที่เหมาะสม ใช้รูปภาพประกอบคุณภาพต่ำเกินไป ตั้ง size งานไม่ได้ขนาด ไม่ได้แนบฟอนต์หรือรูปภาพ (Links) มากับไฟล์งาน ใช้โปรแกรมผิดประเภท ฯลฯ โรงพิมพ์จึงได้สร้าง Template เบื้องต้นสำหรับการออกแบบมาไว้ให้ใช้กันฟรี ๆ ดาวโหลดได้ที่นี่ครับคำแนะนำสำหรับการเตรียมไฟล์ให้เหมาะสมกับการพิมพ์ ทางโรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี. มีข้อแนะนำดังนี้ครับ
1. นักออกแบบควรจะใช้โปรแกรมออกแบบให้ตรงตามประเภทของงานก่อนตั้งแต่ต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียคุณภาพของงาน การใช้โปรแกรมผิดประเภท นอกจากจะไม่ได้งานตามที่ควรจะเป็นแล้ว ยังทำให้เกิดความยุ่งยากเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการพิมพ์
- Photoshop เหมาะสำหรับงานออกแบบทั่วไป โปสเตอร์ โบรชัวร์ ออกแบบหน้าปกหนังสือ งาน Ads เป็นชิ้น ๆ มีเพียง 1-2 หน้า งานที่เน้นไปที่การทำงานเกี่ยวกับภาพเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอล หรือภาพที่ได้มาจาก Photostock เป็นโปรแกรมตั้งต้นสำหรับจัดการกราฟฟิค เพื่อนำไปใช้กับโปรแกรมอื่น ๆ ไม่เหมาะกับการนำมาออกแบบหนังสือเป็นเล่มโดยตรง ถึงแม้ว่าจะทำได้ก็ตาม
- Illustrator เหมาะสำหรับงานออกแบบทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น โปสเตอร์ โบรชัวร์ หน้าปกหนังสือ กล่องผลิตภัณฑ์ ฯลฯ การทำงานส่วนใหญ่จะทำใน Illustrator เป็นหลัก ทางโรงพิมพ์แนะนำให้ตกแต่งภาพให้เสร็จเรียบร้อยใน Photoshop เสร็จแล้วค่อยนำภาพเข้ามาใช้ (Place) ใน Illustrator อีกทีหนึ่ง
- InDesign เหมาะสำหรับการออกแบบงานหนังสือที่เป็นลักษณะเล่ม ๆ มีหลาย ๆ หน้า ลักษณะการใช้งานจะเป็นในลักษณะ “จัดหน้าหนังสือ” มากกว่า “ออกแบบกราฟฟิค” ภาพและกราฟฟิคที่ใช้มักจะตกแต่งแล้วเสร็จมาจาก Photoshop/Illustrator แล้วค่อยนำมาวางใน InDesign เพื่อจัดรูปเล่มหนังสืออีกต่อหนึ่ง
3. การกำหนดขนาดงาน “จะต้องบวกพื้นที่การทำงานออกไปเสมอ“ เพื่อเผื่อตัดตก ตัดตก คือการออกแบบงานให้เลยยื่นออกนอกเนื้อที่งาน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดขอบขาว เวลาโรงพิมพ์เจียนงานทิ้ง สิ่งนี้จำเป็นมาก ๆ นะครับ และนักออกแบบส่วนใหญ่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานกับโรงพิมพ์มาก่อนจะไม่รู้ งานที่ไม่ได้เผื่อตัดตก บางครั้งจะทำให้มีขอบขาว ๆ เกิดขึ้นเวลาพิมพ์งานจริง โดยปกติแล้วทางโรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี. จะแจ้งลูกค้าก่อนว่างานที่ทำมาไม่ได้เผื่อตัดตกไว้ โรงพิมพ์จะแก้โดยการขยายงานออกไปข้างละ 3mm (หรือประมาณ 1/8 นิ้ว) ทำให้ Artwork ที่ลูกค้าทำมานั้น ใหญ่เกินจริงไปราว ๆ 2%
4. ขั้นตอนการทำงานขั้นถัดไป แยกตามโปรแกรมที่ใช้งานเลยครับ
ตัวอย่างการตั้งค่าหน้ากระดาษสำหรับการออกแบบโบรชัวร์ด้วย Photoshop
1. เลือกขนาดงานที่ต้องการเช่น A4 (ส่วนใหญ่งานที่ผลิตในไทย จะใช้ Standard ของ International Paper)
2. ให้เผื่อขนาดตัดตกออกไปทุกด้าน (บน ล่าง ซ้าย ขวา) ด้านละ 3 mm
3. Resolution ที่ใช้ เป็น 300 Pixel/inch ไม่จำเป็นต้องมากไปกว่านี้ และไม่ควรน้อยไปกว่านี้ Resolution ที่มากเกินไปไม่ได้ทำให้ความคมชัดของงานพิมพ์เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
4. สำหรับงานที่ส่งโรงพิมพ์แล้ว จะต้องใช้โหมดสีเป็น CMYK เสมอ
เมื่อเริ่มทำงานแล้ว ให้ตั้ง guide ให้กับ wordspace ดังนี้
ไกด์งานที่เห็นในภาพ เป็นไกด์งานขนาด A4 ที่เผื่อขอบออกไปด้านละ 3mm อยู่แล้ว ส่วนที่ยื่นออกไปนอกไกด์จะถูกเจียนทิ้งทั้งหมด แต่ไม่มีไม่ได้ ฉะนั้น นักออกแบบควรจะพิจารณาให้ดีว่า จะวาง Layout อย่างไรให้มีตำแหน่งที่เหมาะสม
5. ทางโรงพิมพ์พบปัญหาเรื่อง Font บ่อยมาก ทำให้ต้องเสียเวลาติดต่อนักออกแบบหลายรอบ ดังนั้นหากมีการใช้ Font พิเศษ ให้นักออกแบบ Rasterize ฟอนต์มาด้วยนะครับ (Click ขวาที่ Text Layer นั้น ๆ แล้วเลือก Rasterize Type) การ Rasterize จะแปลง Text Layer นั้นให้กลายเป็นภาพกราฟฟิค จึงไม่สามารถแก้ไขข้อความต่อไปได้ การ Rasterize จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน วิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดครับ
6. เมื่อออกแบบเสร็จแล้ว ให้เซฟเป็นไฟล์ PSD ส่งโรงพิมพ์ได้เลยครับ
คล้าย ๆ กันกับ Photoshop นะครับ แต่ Illustrator มี feature ที่เพิ่มขึ้นมานิดหน่อยครับ
1. เลือกขนาดงานที่ต้องการออกแบบ
2. ให้ set ขนาดตัดตก ทุกด้าน ด้านละ 3mm (สำหรับ Illustrator ให้ตั้งที่ Bleed ทุกด้าน ๆ ละ 3mm ตามรูปครับ)
3. ส่วนที่ 3 นี้ ไม่ต้องเซตอะไร เพราะเป็นค่าเริ่มต้นสำหรับ Illustrator อยู่แล้ว แต่ให้เช็คเพื่อความแน่ใจว่า ค่าที่ได้ ได้เหมือนดังภาพเป็นอย่างน้อยครับ
หน้าตาของ Workspace ที่ได้ก็จะประมาณนี้ครับ
เมื่อมองจากภาพขยาย กรอบสีดำด้านในที่เห็นอยู่ก็คือกรอบขนาดไซส์งานจริงที่เราเลือกไว้ ในที่นี้คือขนาด A4 ครับ ส่วนเส้นกรอบสีแดงด้านนอกคือ เส้น Bleed หรือ เส้นแสดงของเขตตัดตกนั่นเอง บริเวณที่อยู่เลยขอบสีดำออกมานั้นจะถูกเจียนทิ้งทั้งหมดเวลาผลิตงานพิมพ์ ครับ
สำหรับ Adobe InDesign ทางเราแนะนำเพิ่มเติมในส่วนของการ Export ไฟล์เป็น PDF มาด้วยนะครับ เพราะหลายครั้งพบว่า ลูกค้าของโรงพิมพ์สร้าง Package ไม่เป็น ทำให้การส่งไฟล์ PDF ให้กับโรงพิมพ์จะผิดพลาดน้อยลง
1. เริ่มจากการสร้าง Document ใหม่นะครับ ให้นักออกแบบเลือกขนาดงานสำเร็จที่ต้องการได้เลย เช่นหากต้องการพิมพ์หนังสือขนาด A4 ก็ให้เลือก Page Size เป็น A4 ได้เลย หน่วยที่แสดงในรูปจะเป็น Pica ซึ่ง 1 Pica จะยาวประมาณ 4.233 mm หรือ 0.166 นิ้ว (1 Pica = 12 Point) แต่ถ้านักออกแบบท่านไหนถนัดหน่วยอื่น ก็สามารถไปเปลี่ยนได้ในภายหลังครับ ต่อมาคือจำนวน Column ถ้าเป็นหน้าเดี่ยว ๆ ก็ปล่อยไว้เฉย ๆ ไม่ต้องไปเปลี่ยนก็ได้ครับ แต่ในที่นี้ ผมกะลังจะออกแบบงานที่มี 2 column เลยต้องเซ็ตเป็น 2 ส่วน Gutter คือระยะห่างระหว่างคอลัมน์ครับ
ลงมาที่ Margin เป็น Guide ภายในหน้าหนังสือ เอาไว้สำหรับวาง text ตัวหนังสือครับ Margin 3 Pica เป็นค่า standard สำหรับหนังสือทั่ว ๆ ไป ที่นิยมใช้ครับ ต่อมาคือส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะพูดถึง คือเรื่องของ Bleed ครับ (Slug ไม่ต้องสนใจนะครับ Slug คือพื้นที่ที่เลย Bleed ออกไปอีก มีไว้สำหรับคนของโรงพิมพ์ใส่ข้อมูลที่จำเป็นในการพิมพ์ครับ เช่น ไกด์สี ฯลฯ นักออกแบบไม่จำเป็นต้องใช้ในส่วนนี้ครับ) Bleed ที่ปกติทางโรงพิมพ์ทั่วไปนิยมใช้กันคือ 3 mm (หรือประมาณ 1/8 นิ้ว) เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องน้อยไปกว่านี้
2. พอสร้าง document ใหม่เสร็จ เราจะเห็น Workspace ของเรามีเส้นอยู่ 3 เส้นหลัก ๆ ครับ
- เส้นตรงกลาง สีดำ : คือเส้นขอบเขตงาน ในที่นี้จะมีขนาด = กระดาษ A4 ตามที่เราเซตไว้ตั้งแต่ต้นครับ
- เส้นนอกสุด สีแดง : คือเส้น Bleed จะบวกจากเส้นสีดำออกไป 3mm ครับ
- เส้นในสุด สีม่วง : คือเส้น Margin ห่างจากเส้นขอบเขตงาน 3 Pica หรือ 36 Point หรือตามที่เซ็ตไว้ครับ
3. พอออกแบบงานเสร็จแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการ Export เป็น PDF ครับ ทางโรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี. แนะนำให้ลูกค้าเลือก Profile ดังนี้ครับ
- Preset : High Quality Print
- Standard : PDF/X-4 (หาอ่านเพิ่มเติมได้จาก section บทความนะครับว่า ทำไมต้อง PDF/X-4 และ มันต่างจากเวอร์ชั่นอื่น ๆ อย่างไร)
- เสร็จแล้วให้เลือกที่ Tab “Marks and Bleeds” แล้วติ๊กถูกที่ “Crop Marks” และ “Bleed Marks” ครับ ขั้นตอนนี้จะเป็นการใส่ Bleed Mark + Crop Mark ลงไปใน PDF ไฟล์ด้วย เวลาโรงพิมพ์ทำงาน จะได้ตัดสินใจได้แม่นยำว่า จุดไหนคือขอบเขตของงานกันแน่
- Bleed and Slug ให้ติ๊กถูกที่ “Use Document Bleed Settings” ด้วยครับ เป็นการบอกว่า ให้เราใช้ Bleed ตามที่เราได้เลือกไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดไฟล์งานเลยครับ ไม่จำเป็นต้องไปเซ็ตใหม่
4. ถ้านักออกแบบเปิดไฟล์ PDF ที่ถูก export ออกมา ก็จะพบ Trim Mark (Crop Mark) และ Bleed Mark ตามรูปด้านบนนี้ครับ
5. ขั้นตอนสุดท้าย ก็คือ ตรวจทานไฟล์งานอีกรอบอย่างละเอียดทั้ง หมด ทั้งในเรื่องของการจัดหน้า การวาง layout เรื่องของสี, graphic, รูปภาพ และหากไม่แน่ใจในเรื่องของการพิสูจน์อักษร โรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี. แนะนำว่า ให้ print งานออกมาตรวจทานอีกรอบก่อนนะครับ เพราะว่าทางโรงพิมพ์จะยึดเอาไฟล์ PDF ที่ลูกค้า approve แล้วส่งมา เป็นหลักยึดในการทำงานครับ
โรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี. หวังว่า บทความชิ้นนี้จะช่วยให้นักออกแบบเข้าใจกระบวนการออกแบบงานพิมพ์เพื่อส่งโรงพิมพ์มากขึ้นนะครับ
Credit by http://www.wacharinprint.com/home/?p=253
Comments
Post a Comment